วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 3 ด่าน


ด่าน

             หญิงคนหนึ่งต้องการซ่อมแซมบ้านของตนจึงจ้างคนมาต่อเติมบ้าน มีคนงาน 2 คน ชื่อติ๊กกับดำ ติ๊กเป็นคนค่อนข้างเอาเปรียบนายจ้างจึงชวนดำคิดเงินค่าของที่จะซื้อมาซ่อมแซมบ้านแพงกว่าปกติ แต่ดำกลับเฉย พอทำงานไปสักพักแดดก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ป้าเจ้าของบ้านโผล่หน้าต่างและตะโกนให้ทั้งคู่หยุดทำงาน เพื่อพักกินข้าวกลางวันที่ป้าเตรียมไว้ให้ ดำบอกกับติ๊กว่าเห็นอย่างนี้แล้วติ๊กจะโกงป้าได้ลงเชียวหรือ  ติ๊กนั่งอึ้งสักพักหนึ่ง หลังจากทั้งสองกินข้าวเสร็จแล้วป้าก็ยกลอดช่องมาให้กินอีก ป้าบอกว่าถ้างานนี้เสร็จจะมีรางวัลมอบให้ทั้งสองคน ดำกับติ๊กดีใจมากและตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนงานสำเร็จ ทั้งสองก็ไม่เอาเปรียบเรื่องค่าของที่จะซื้อมาซ่อมแซมบ้าน  เพราะป้าเป็นคนดีทั้งสองจึงทำอย่างนั้นกับป้าไม่ลง

               ข้อคิดที่ได้จากตอนด่าน 
            คือ ก่อนที่เราจะให้ผู้อื่นทำดีกับเรา เราต้องทำดีกับผู้อื่นก่อน  ถ้าสิ่งที่เราทำไม่ได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างน้อยตัวเราก็สบายใจในสิ่งที่ทำ

ตอนที่ 2 ถ้าผมเป็นพ่อ


ถ้าผมเป็นพ่อ

            มีชายคนหนึ่งไม่ค่อยลงลอยกับพ่อของเขามากนัก เพราะพ่อชอบว่าเขาเป็นคนเหลวไหล แต่ในอดีตป้าเคยเล่าเรื่องพ่อให้ผมฟังว่า พ่อชอบหนีเรียนไปช้อนปลากัดจนย่าหวดด้วยก้านมะยม บางทีก็หนีย่าไปชกมวยต่างอำเภอ เมื่อชายคนนั้นเข้ามาเรียนกรุงเทพ พ่อกลับไม่พอใจในการตัดสินใจของเขาเพราะกลัวเขาทำตัวไม่ดี เขาเข้ามาเรียนในกรุงเทพสักพักก็พบผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยมาก ทำให้เขาถึงกลับหลงรักเธอ เขาคิดว่าพ่อคงเคยตกอยู่ในห้วงความรักแบบนี้เหมือนกัน เพราะป้าเคยบอกว่าตอนพ่อมาเรียนที่กรุงเทพ พ่อได้รับจดหมายจากสาวๆทุกวัน ถ้าตอนนั้นย่าอยู่กับพ่อด้วยอยากรู้เหมือนกันว่าย่าจะทำอย่างไร เขาถึงอยากให้พ่อลองเป็นเขา และเขาลองเป็นพ่อบ้างจะได้รู้ว่าจะทำเหมือนกันกับที่พ่อทำอยู่ตอนนี้หรือเปล่า แต่เป็นไปไม่ได้เขาจึงหยุดคิดเรื่องนี้และปิดไฟเข้านอนตามปกติ
                            
               ข้อคิดที่ได้จาก ตอนถ้าผมเป็นพ่อ 
               คือ พ่อแม่ย่อมรักลูกและอยากให้ลูกได้ดี เราควรมองในทางกลับกันที่ท่านคอยว่ากล่าวตักเตือนเราก็เพราะท่านอยากให้เราได้ดี พ่อแม่อาบน้ำร้อนมาก่อนท่านย่อมรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เราก็ต้องเชื่อฟังท่านบ้าง เพราะไม่มีใครที่หวังดีกับเราเท่ากับท่านอีกแล้ว

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 1 ขาซ้ายของแม่


ขาซ้ายของแม่

                ขาซ้ายของแม่ เป็นเรื่องราวในความนึกคิดของหนุ่มวัยกลางคน ซึ่งเมื่อครั้งเป็นเด็กก็อาศัยอยู่บ้านนา เขามีแม่พ่อคอยดูแล พอถึงหน้านาก็ทำนา พอนอกฤดูเก็บเกี่ยวก็ทำงานอื่นมิมีหยุดหย่อน เพื่อเลี้ยงดูทุกคนในครอบครัวให้เติบใหญ่  จนกระทั่งถึงวัฏจักรชีวิตของคนวัยหนุ่มสาวแถบบ้านนอก เมื่อเติบใหญ่ก็ต้องเข้าเมืองหางานทำ เพื่อแบ่งเบาภาระในครอบครัว ต้องจากบ้านทุ่งมาอยู่เมืองกรุงทำงานเป็นพนักงานบัญชี และใช้จดหมายเป็นสื่อในการรับรู้ความเป็นอยู่ของคนที่ห่างไกลอย่างพ่อแม่และพี่น้องของตน แม่เขียนจดหมายถึงเขาไม่บ่อยนักส่วนใหญ่จะเป็นพ่อกับพี่สาว และจดหมายฉบับล่าสุดนี้เป็นจดหมายของแม่ที่มีรอยยับย่น ไม่มีชื่อที่อยู่ผู้ส่ง แต่รู้ได้จากตราประทับบนแสตมป์ว่าเป็นจดหมายจากบ้าน เมื่อเปิดอ่านก็ชวนให้เขานึกถึงภาพของแม่อย่างเด่นชัด ทั้งลักษณะท่าทาง รูปร่าง  และเหตุการณ์ครั้งเมื่อพาแฟนสาวไปบ้านแม่มีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส เขามองเห็นขาข้างซ้ายของแม่ที่ดูแปลกแตกต่างจากที่เคยเห็น แต่แม่ก็ไม่แสดงอาการอะไรทั้งยังกระตือรือร้นที่จะต้อนรับขับสู้ แม่ของเขาพยายามจะหาของมาต้อนรับ จนนึกถึงส้มโอที่ยังหลงเหลือบนต้น เขาทัดทานจะไปเก็บส้มเองแต่แม่ไม่ยอมแม่พยายามพยุงตัวเพื่อจะไปเก็บส้มโอมาให้ ด้วยการเคลื่อนไหวที่ลำบากเหลือทน เขามองแล้วก็อดคิดไม่ได้ที่จะพยายามรักษาแม่  หลังจากกลับมาจากบ้านเขาคิดเสมอว่าจะต้องเก็บเงินรักษาขาของแม่ให้ได้ แต่ด้วยมีเหตุผลหลายอย่างทั้งการที่ต้องดูแลแฟน การสร้างรากฐานครอบครัว ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน  ทำให้เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องขาของแม่เลย  ถึงแม้เขาจะได้ไปเยี่ยมพี่สาวที่มีครอบครัวอยู่ใกล้เคียงแต่ทั้งสองก็มิได้เอ่ยถึงเรื่องขาของแม่เลยสักนิด  จนได้รับจดหมายฉบับนี้แม่ได้บอกถึงอาการขาของแม่ว่า “พักนี้ปวดขาบ่อย แต่ไม่เป็นไรมากไม่ต้องเป็นห่วง”  เขาอ่านจดหมายอีกรอบก่อนจะเขียนตอบกลับไป เขารู้สึกเศร้าใจมากจนไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง “กราบเท้าคุณแม่ที่เคารพ” เมื่อจบข้อความนี้ก็ไม่รู้จะเขียนอะไรต่อไปดี และเขาคิดต่อไปว่า “กราบเท้าคุณแม่...ใช่สิ กราบเท้าคุณแม่แต่เป็นข้างซ้ายนะ โปรดเถิดอย่าเป็นอะไรให้มากกว่านี้ ถ้าโชคช่วยจะรีบมารักษา ผมให้สัญญา”

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
                                       - คนส่วนใหญ่ในสังคมยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลบุพการีน้อยมาก แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นอยู่ ความสุข ความสบายและปากท้องของตนเอง
                                    -  บุตรพึงดูแลบุพการีของตน ไม่ปล่อยให้ลำบากหรือเป็นทุกข์หากเมื่อเราสามารถช่วยเหลือได้

                                 -   ครั้งเราเป็นเด็กท่านดูแลเราให้เติบใหญ่ได้ เมื่อครั้นท่านชราแก่เฒ่าไป เหตุใดเราจึงจะดูแลไม่ได้เช่นกัน

ครอบครัวกลางถนน


                         หนังสือน่าอ่าน


ครอบครัวกลางถนน เป็นหนังสือรวเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลซีไรต์ของ ศิลา โคมฉาย ที่ผู้เขียนใช้ความหลักแหลมแยบยล สร้างสรรค์งานขึ้นจากความเข้าใจชีวิตและสังคมรอบตัวมีลีลา การเขียนที่สมบูรณ์ด้วยกลวิธีทางวรรณศิลป์ ใช้สำนวนโวหารที่สร้างบรรยากาศและจินตภาพ ทำให้ผู้อ่านสามารถสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้อย่างแนบเนียน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องสั้นอีก 13 เรื่องด้วยกัน ส่วนใหญ่แสดงภาพชีวิตของคนชั้นกลางในเมืองหลวง ที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนท่ามกลางความผันแปรของสังคมปัจจุบัน ผู้เขียนได้ดึงปัญหาต่าง ๆ หลากหลายแง่มุม มาร้อยเป็นเรื่องราวที่สะท้อนสภาพชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน ที่กำลังเผชิญกับปัญหาครอบครัว เศรษฐกิจ และการเมือง ผู้เขียนได้สร้างสรรค์ภาพชีวิต ด้วยภาษาที่กระชับก่อให้เกิดจินตนาการ ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ และสำนึกถึงบทบาทของตนเอง ในฐานะสมาชิกของสังคม ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2536 ในปีเดียวกับที่ได้รับรางวัลซีไรต์
รายชื่อตอนทั้งหมด
  1. ขาซ้ายของแม่
  2. ถ้าผมเป็นพ่อ
  3. ด่าน
  4. คืนเหน็บหนาว
  5. ดอกเลือด
  6. ผู้เข้าใจ
  7. ครอบครัวกลางถนน
  8. อิสรภาพ
  9. มีดของนาย
  10. มโนกรรม
  11. เทพธิดา
  12. เสียหมา
  13. เด็กหัวขี้เลื่อย